ภูมิปัญญา หรือ Wisdom หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ความเชื่อ ที่นำมาไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาของมนุษย์ หรือ ภูมิปัญญา คือ พื้นความรู้ของปวงชนในสังคมนั้น ๆ และปวงชนในสังคมยอมรับรู้ เชื่อถือ เข้าใจ ร่วมกัน เรียกว่า ภูมิปัญญา
ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและทักษะของคนไทยอันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนา และถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อใช้แก้ปัญญาและพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยให้สมดุลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัย ภูมิปัญญาไทยนี้มีลักษณะเป็นองค์รวม มีคุณค่าทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นในวิถีชีวิตไทย ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นอาจเป็นที่มาขององค์ความรู้ที่งอกงามขึ้นใหม่ที่จะช่วยในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การจัดการและการปรับตัวในการดำเนินวิถีชีวิตของคนไทย ลักษณะองค์รวมของภูมิปัญญามีความเด่นชัดในหลายด้านเช่น ด้านเกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรม และหัตถกรรม ด้านการแพทย์แผนไทย ด้านการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน ด้านศิลปกรรม ด้านภาษาและวรรณกรรม ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี และด้านโภชนาการ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณะและภูมิปัญญา
ได้มีผู้ความหมายดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2539 : 2)หมายถึง ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิตของคนเราผ่านกระบวนการศึกษา สังเกตคิดวิเคราะห์จนเกิดปัญญา และตกผลึกมาเป็นองค์ความรู้ที่ประกอบกันขึ้นมาจากความรู้เฉพาะหลาย ๆ เรื่อง ความรู้ดังกล่าวไม่ได้แยกย่อยออกมาเป็นศาสตร์ เฉพาะสาขาวิชาต่าง ๆ อาจกล่าวไว้ว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นจัดเป็นพื้นฐานขององค์ความรู้สมัยใหม่ที่จะช่วยในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การจัดการ แลการปรับตัวในการดำเนินชีวิตของคนเรา ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นความรู้ที่มีอยู่ทั่วไปในสังคม ชุมชนและในการตัวของผู้รู้เอง หากมีการสืบค้นหาเพื่อศึกษา และนำมาใช้ก็จะเป็นที่รู้จักกันเกิดการยอมรับ ถ่ายทอด และพัฒนาไปสู่คนรุ่นใหม่ตามยุคตามสมัยได้
ศักดิ์ชัย เกียรตินาคินทร์ (2542 : 2) ได้ให้ความหมายของภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ องค์ความรู้ความสามารถของชุมชนที่สั่งสมสืบทอดกันมานาน เป็นความจริงแท้ของชุมชนเป็นศักยภาพที่จะใช้แก้ปัญหา จัดการปรับตน เรียนรู้ และถ่ายทอดสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุก เป็นแก่นของชุมชนที่จรรโลง ความเป็นชาติให้อยู่รอดจากทุกข์ภัยพิบัติทั้งปวง
จารุวรรณ ธรรมวัติ (2543 : 1) ได้ให้ความหมาย ของภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ แบบแผน การดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าแสดงถึงความเฉลียวฉลาดของบุคคล และสังคมซึ่งได้สั่งสมและปฏิบัติต่อกันมา ภูมิปัญญาจะเป็นทรัพยากรบุคคล หรือทรัพยากรความรู้ก็ได้
จากการศึกษาความหมายและแนวคิดของภูมิปัญญาของชาวบ้านที่กล่าวมาแล้วข้างต้นพอสรุปได้ว่า ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ ความสามารถในการดำเนินชีวิตอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ โดยใช้สติปัญญาสั่งสมความรู้อย่างแพร่หลาย ผสมผสานความกลมกลืนระหว่างศาสนา สภาพภูมิอากาศ สภาพแวดล้อมการประกอบอาชีพ และกระบวนการเหล่านี้มาจนหลายชั่วคนซึ่งจะเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้น เกิดจากการเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์เป็นระยะเวลายาวนาน โดยอาศัยภูมิปัญญาที่มีอยู่มาใช้ในการตั้งถิ่นฐาน การประกอบอาชีพการปรับตัวและแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต จนเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติและสังคม
ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local wisdom) ปัจจุบันยังไม่มีผู้ใดให้ความหมายไว้อย่างชัดเจนแต่พอทำความเข้าใจได้ดังนี้ หมายถึง ความรู้หรือประสบการณ์ดั้งเดิมของประชาชนในท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษหรือถ่ายทอดต่อกันจากสถาบันต่างๆ ในชุมชน เช่น จากสถาบันครอบครัว สถาบันความเชื่อและศาสนา สถาบันการเมืองการปกครอง สถาบันเศรษฐกิจ และสถาบันทางสังคมอื่น ๆ นอกจากนี้ กรมการศึกษานอกโรงเรียนให้ความหมายคำว่า “ภูมิปัญญาชาวบ้าน” นั้นเป็นการเชื่อมโยงไปถึงความรู้ประสบการณ์ตรงของคนในท้องถิ่น ที่ได้จากการสะสมประสบการณ์จากการทำงาน การประกอบอาชีพและการเรียนรู้จากธรรมชาติแวดล้อมต่างๆ และถ้าจะพิจารณาภูมิปัญญาท้องถิ่นเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีแล้วนั้นหมายถึง เทคนิควิทยาพื้นบ้านได้ด้วย โดยสถานวิจัยสังคมได้ให้คำจำกัดความว่า เทคโนโลยีนั้นเป็นความรู้ว่าจะทำสิ่งต่างๆ อย่างไร โดยมีองค์ประกอบ 2 ประการคือ เครื่องมือในการทำสิ่งนั้น ๆ และกระทบกันขั้นตอนในการทำสิ่งนั้น ๆ ซึ่งสามารถแยกได้ในลักษณะความรู้ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและความจำเป็นในท้องถิ่น เช่น การประยุกต์ใช้พลังคน สัตว์ และธรรมชาติ ตลอดจนองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่นหรือชุมชน ในอันที่จะเป็นทางเลือกในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่น การประยุกต์ใช้พลังคน สัตว์ และธรรมชาติ ตลอดจนองค์ความรู้ต่างๆ ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่นหรือชุมชน ในอันที่จะเป็นทางเลือกในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่น การประยุกต์แนวความคิดที่เป็นมรดกของคนไทยในการประกอบอาชีพ โดยใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นเป็นหลักพิจารณากิจกรรมหรืออาชีพของชุมชน เช่น แถบพื้นที่หรือท้องถิ่นใดเป็นที่ราบลุ่ม กิจกรรมของชุมชนก็คือ การทำนา หรือการปั้นโอ่งและตุ่มน้ำจากดินเหนียว หรือการแกะสลักไม้เป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยใช้ไม้ที่มีอยู่ในท้องถิ่น เป็นต้น ในการสัมมนาทางวิชาการ โดยศูนย์ศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏสุรินทร์ ในเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นและการสร้างเครือข่าย นั้นได้ให้คำจำกัดความของคำว่า
ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน (Local wisdom หรือ popular wisdom) คือพื้นฐานของความรู้ของชาวบ้านหรือคือความรอบรู้ของชาวบ้านที่เรียนรู้และมีประสบการณ์สืบต่อกันมาทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งเรียนรู้จากผู้ใหญ่หรือที่เป็นความรู้สะสมสืบต่อกันมา ภูมิปัญญาท้องถิ่น มี 4 ประเภท คือ
1. ภูมิปัญญาด้านคติธรรม ความคิด ความเชื่อ หลักการที่เป็นพื้นฐานขององค์ความรู้ที่เกิดจากการสั่งถ่ายทอดกันมา
2. ภูมิปัญญาด้านศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นแบบแผนการดำเนินชีวิตที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา
3. ภูมิปัญญาด้านการประกอบอาชีพในท้องถิ่น ที่ยึดหลักการพึ่งตนเองและได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับกาลสมัย
4. ภูมิปัญญาด้านแนวความคิด หลักปฏิบัติ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ชาวบ้านนำมาดัดแปลงใช้ในชุมชนอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่
ภูมิปัญญาไทยในท้องถิ่นภาคอีสานเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์
(อย่างเช่น)
ความรู้เรื่องกระติบข้าว
กระติบข้าวเป็นของใช้ประจำบ้านที่ใช้บรรจุข้าวเหนียว
ทุกครัวเรือน ทุกพื้นที่ที่รับประทานข้าวเหนียว
เหตุผลที่ทำให้นิยมใช้
กระติบข้าวบรรจุข้าวเหนียว
1.
ทำให้ข้าวเหนียวที่บรรจุไม่เหนียวแฉะ ไม่ติดมือ
2. พกพาสะดวก หิ้วไปได้ทุกหนทุกแห่ง
วัสดุที่ใช้ทำกระติบข้าว
กระติบข้าวสามารถทำได้จากวัสดุหลายอย่าง
เช่น ใบจาก ใบตาล ใบลาน เป็นต้น แต่ที่นิยมใช้ทำมาก และมีคุณภาพดีที่สุด
ต้องทำจากไม้ไผ่
ไม้ไผ่มีหลายชนิด แต่ละชนิด
เหมาะกับงานแต่ละอย่าง และไม้ไผ่ที่นิยมนำมาทำกระติบข้าว คือไม้ไผ่บ้าน
หรือไม้ไผ่ใหญ่ อายุประมาณ 10 เดือน ถึง 1 ปี เพราะมีปล้องใหญ่และปล้องยาว
เนื้อไม้เหนียวกำลังดี ไม่เปราะง่าย ทำเป็นเส้นตอกสวย ขาว
ขั้นตอนการสานกระติบข้าว
1.
นำปล้องไม้ไผ่มาตัดหัวท้าย ตัดเอาข้อออก ผ่าเป็นซีกทำเส้นตอกกว้างประมาณ2-3
ม.ม. ขูดให้เรียบและบาง
2.
นำเส้นตอกที่ได้มาสานเป็นรูปร่างกระติบข้าว หนึ่งลูกมี 2 ฝา มาประกอบกัน
3.
นำกระติบข้าวที่ได้จากข้อ (2.) มาพับครึ่งให้เท่า ๆ กันพอดี เรียกว่า 1 ฝา
4.
ขั้นตอนการทำฝาปิด โดยจักเส้นตอกที่มีความกว้าง 1 นิ้ว สานเป็นลายตามะกอก
และลายขัด
5.
นำฝาปิดหัวท้ายมาตัดเป็นวงกลม มาใส่เข้าที่ปลายทั้งสองข้าง
6.
ใช้ด้ายไนล่อน และเข็มเย็บเข้าด้วยกันรอบฝาปิดหัวท้าย
7.
นำก้านตาลที่ม้วนไว้มาเย็บติดกับฝาล่าง ที่เป็นตัวกระติบข้าว
8.
นำกระติบข้าวที่ได้ไปรมควันจากฟางข้าว เพื่อกันแมลงเจาะ และเพื่อความสวยงาม
ทนทาน ไม่เกิดราดำ
9.
นำไม้มาเหลาเป็นเส้นตอก กลมยาวเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-3 ม.ม. ความยาวรอบ บางเท่ากับฝากระติบพันด้วยด้ายไนล่อน
แล้วเย็บติดฝาขอบบน เพื่อความสวยงาม
10.
เจาะรูที่เชิงกระติบข้าว ด้วยเหล็กแหลม 2 รู ให้ตรงข้ามกัน
แล้วทำหูที่ฝาด้านบน ตรงกับรูที่เจาะเชิงไว้
11.
ใช้ด้ายไนล่อนสอดเข้าเป็นสายไว้สะพายไปมาได้สะดวก
จะได้กระติบข้าวที่สำเร็จเรียบร้อย สามารถนำมาใช้และจำหน่ายได้
วัสดุที่ใช้ทำกระติบข้าว
1. ไม้ไผ่บ้าน
2. ด้ายไนล่อน
3. เข็มเย็บผ้าขนาดใหญ่
4. กรรไกร
5. มีดโต้
6. เลื่อย
7. เหล็กหมาด (เหล็กแหลม)
8. ก้านตาล
9. เครื่องขูดตอก
10. เครื่องกรอด้าย
ประโยชน์ที่ได้จากกระติบข้าว
1. ใช้บรรจุข้าวเหนียว
2. เป็นของชำร่วย
3. ประดับตกแต่ง
4. กล่องเอนกประสงค์
5. กล่องออมสิน
6. แจกัน
7. กล่องใส่ดินสอ
ข้อเสนอแนะ
1. การเลือกไม้ไผ่ ควรเลือกไม้ไผ่
ที่มีปล้องยาวอายุประมาณ 10 เดือน ถึง 1 ปี
2. การจักตอก ต้องมีขนาดความกว้าง
ความยาวให้เท่า ๆ กันทุกเส้น เพื่อจะได้กระติบรูปทรงสวยงาม
3. ก่อนที่จะเหลาเส้นตอก
หรือขูดให้นำเส้นตอกที่จักแล้ว แช่น้ำประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้เส้นตอกอ่อนนุ่ม
จะได้ขูดเหลาง่ายขึ้น แล้วนำไปตากแดด ให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันเชื้อราก่อนลงมือสาน
จุดเด่น ของการสานกระติบข้าว
1. สานเป็นลวดลายต่าง ๆ
หรือเป็นตัวหนังสือทั้งไทยและอังกฤษ จะได้ราคาดี
2. หาอุปกรณ์ในการทำง่าย
3. ทำให้เกิดอัตราการว่างงาน
และเป็นอาชีพที่สุจริต และเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัว
4. วิวัฒนาการเป็นของชำร่วยได้มากมาย
เช่น กล่องใส่กระดาษชำระ กระเป๋า แจกัน
การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้
ในการทำกระติบข้าว
1. มีการนำเอาใสไม้ไฟฟ้า
ที่เลิกใช้แล้วมาดัดแปลงทำเป็นเครื่องขูดตอกที่อ่อนบาง
2. ได้นำสีย้อมไหม
ใช้ในการย้อมเส้นตอกเพื่อทำลวดลาย ให้สีสันสวยงามยิ่งขึ้น
3. นำวิธีการประดิษฐ์
เป็นลายประยุกต์และตัวอักษร ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
4. มีการตกแต่งฝาบน
ด้วยการทำคิ้วเพื่อความสวยงาม และคงทน
5. มีการทำเครื่องกรอด้ายไนล่อน
ที่นำมาพันคิ้ว ด้วยเครื่องมือ ทำให้กรอได้เร็วและละเอียดสวยงามยิ่งขึ้น
ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคกลาง
สังคมไทยในอดีตเป็นสังคมเกษตรกรรม
ที่ผู้คนสามารถผลิตปัจจัยในการดำรงชีวิตได้เองเป็นส่วนใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือเครื่องไม้เครื่องมือ
ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพหรือ
คติความเชื่อในการดำรงชีวิตประจำวันก็ตาม
งานจักสานหรือเครื่องจักสานเป็นงานหัตถกรรมและศิลปแห่งภูมิปัญญาของชาวบ้าน
ที่เกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีชีวิตของชาวชนบทในสังคม เกษตรกรรม
เพราะเครื่องจักสานเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำได้ไม่ยาก
และมักใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นมาทำเป็นเครื่องจักสานใช้เป็นภาชนะ
ใช้ในครัวเรือน
ทำเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ
และทำเป็นเครื่องเล่นเครื่องแขวนเครื่องประดับในบ้านเรือนได้อีก ด้วย
งานจักสานเป็นงานหัตถกรรมที่เกิดจากภูมิปัญญาที่ชาวบ้านทำขึ้นเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันมาแต่โบราณกาล
แม้ในปัจจุบันนี้
งานจักสานหรือเครื่องจักสานก็ยังคงมีการทำกันอยู่โดยทั่วไปในทุกภูมิภาคของ
ประเทศ
หรืออาจจะพูดได้ว่าเครื่องจักสานในเมืองไทยนั้นมีทำมีใช้กันในทุกแห่งหนตำบล
ก็เห็นจะได้เช่นกัน นอกเหนือจากประโยชน์ใช้สอยแล้ว งานจักสานยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมภูมิปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ของชาวบ้านได้
เป็นอย่างดี จากหลักฐานทางโบราณคดีในประเทศไทย
ทำให้เชื่อได้ว่ามนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เคยอาศัยอยู่บริเวณประเทศไทยสามารถทำเครื่องจักสานมาตั้งแต่ยุคหินกลางเมื่อหลายหมื่นปีมาแล้ว แต่หลักฐานที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงว่า มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์เคยอาศัยอยู่ในประเทศไทยที่บริเวณบ้านเชียง อำเภอหนองหาน
จังหวัดอุดรธานี เมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้วได้แก่ ภาชนะดินเผาชิ้นหนึ่ง
รูปร่างคล้ายชามหรืออ่างเล็กๆผิวด้านนอกมีรอยของลายจักสานโดยรอบ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ในอดีตรู้จักการทำภาชนะจักสาน
แน่นอน แต่ที่ไม่สามารถหาหลักฐานของเครื่องจักสานโดยตรงได้นั้น
เพราะงานจักสานส่วนใหญ่ทำมาจากวัตถุดิบที่เป็นไม้ที่มีอายุขัยเฉลี่ยน้อยผุ
ผังย่อยสลายได้ง่ายจึงยากที่จะมีอายุยืนยาวอยู่ได้นานๆหลายพันหลายหมื่นปีเช่นภาชนะที่ทำจากดิน หินหรือโลหะอื่นๆ สำหรับงานจักสานนั้นเป็นหัตถกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยมาแต่โบราณ
โดยเฉพาะเครื่องจักสานจากไม้ไผ่
ที่มีวิถีเกี่ยวข้องกับชีวิตคนไทยนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายเลยที่เดียว โดยเริ่มตั้งแต่เกิด คนไทยในชนบทสมัยโบราณจะต้องทำพิธี “ตกฟาก” ให้กับเด็กที่เกิดใหม่ทุกคน
คือ
เมื่อเด็กออกจากครรภ์มารดาจะตกใส่พื้นบ้านที่เรียก ว่า “ฟาก”
ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่สับให้แตกแล้วแผ่เรียงกันออกเป็นพื้นเรือนเครื่องผูกหรือ
เรือนไม้ไผ่
ดังนั้นเมื้อทารกแรกเกิดมาแล้วตกลงบนฟากหรือพื้นไม้ไผ่คนโบราณจึงเรียกเวลา
ที่เด็กเกิดว่า “ตกฟาก” นั่นเอง
แม้ในปัจจุบันพื้นบ้านส่วนใหญ่ในเมืองหรือแม้แต่ในชนบทที่เจริญแล้วจะไม่มี
พื้นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่หรือฟากแล้ว ก็ยังคงเรียกเวลาที่เด็กเกิดกันว่า “ตกฟาก” อยู่เช่นเคย หลังจากคลอดแล้ว “หมอตำแย” จะทำพิธี “ร่อนกระด้ง” คือหลังจากอาบน้ำทำความสะอาดให้เด็กแรกเกิดที่ผ่านการ “ตัดสายสะดือ”ด้วยการใช้ “ริ้วไม้ไผ่”ที่ใช้แทนมีดที่เป็นโลหะเพราะอาจทำให้เด็กเกิด
บาดทะยักจากการใช้มีดโลหะได้
ภูมิปัญญาชาวบ้านในสมัยโบราณจึงนิยมใช้ “ริ้วไม้ไผ่”ที่มีความคมเช่นเดียวกับมีดโลหะมาตัดสายสะดือให้เด็กแรกเกิดแทน
นั่นเอง หมอตำแยจะอุ้มเด็กนอนลงบนหลังกระด้งที่มีลักษณะนูนและนุ่มยืดหยุ่นได้ดี จากนั้นหมอตำแยจะยกกระด้งขึ้นพอเป็นพิธีแล้ววางกระแทกลงเบาๆให้เด็กตกใจแล้วร้องไห้
ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนสมัยโบราณที่ทำเพื่อให้เด็ก เกิดความ
คุ้นเคยกับการอุ้มของพ่อแม่เด็กนั่นเอง
นอกจากการวางเด็กลงบนกระด้งแล้วคนโบราณยังนำเอาแหที่ใช้ในการหาปลามาโยงคลุม
กระด้งที่เด็กนอนอยู่อีกด้วย แต่โดยภูมิปัญญาดังกล่าวแล้ว
คนในสมัยโบราณต้องการให้เด็กคุ้นเคยกับการใช้สายตามองดูสิ่งที่สามารถมอง เห็นได้ใกล้ๆตัวมากกว่า โดยมีความเชื่อว่าร่างแหจะป้องกันภูตผีปีศาจไม่ให้เข้ามาทำร้ายเด็กเกิดใหม่
ได้
ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคใต้
เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันเกิดจากการพัฒนา การปรับตัว
ปรับวิถีชีวิตของคนในภาคใต้ที่ประกอบด้วยคนไทยและอีกหลายชาติพันธุ์ที่อยู่
ร่วมกันในคาบสมุทรมีคนมาเลย์ คนจีน และคนที่มาจากอินเดียฝ่ายใต้
แต่กลุ่มชนที่มีจำนวนมากที่สุดคือ ไทยสยาม โดยสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นแหลมทอง
มีทะเลกว้างใหญ่ขนาบอยู่ทั้งสองข้าง มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งในทะเล
และบนแผ่นดิน อันล้วนเป็นเขตมรสุมใกล้เส้นศูนย์สูตร มีผู้คนหลายชาติ หลายภาษา
หลายวัฒนธรรมเดินทางมาทั้งทางบกและทางทะเลเพื่อมาตั้งหลักแหล่ง
แสวงหาโภคทรัพย์และทำมาค้าขายเป็นเวลาติดต่อกันยาวนานกว่าพันปี
มีการตั้งถิ่นฐานทำมาหากินกันหลายลักษณะ ทั้งบริเวณชายทะเล ที่ราบระหว่างชายทะเลกับเทือกเขา
หลังเขา และตามสายน้ำน้อยใหญ่จำนวนมากที่ไหลจากเทือกเขาลงสู่ทะเลทั้งสองด้าน
ภูมิปัญญาของภาคใต้จึงมีความหลากหลาย
ทั้งที่ได้พัฒนาการจากการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ
หรือคนต่างถิ่นที่พกพามาจากแหล่งอารยธรรมต่างๆ จนหลอมรวมกัน
เกิดเป็นภูมิปัญญาประจำถิ่น ซึ่งมีอยู่ในหลายลักษณะ คือ
ภูมิปัญญาในด้านการดำรงชีพ
ภูมิปัญญาในด้านความสัมพันธ์และการพึ่งพา
ภูมิปัญญาในด้านหัตถกรรมพื้นบ้าน
ภูมิปัญญาในด้านสมุนไพร
ภูมิปัญญาในด้านทัศนะคติ
ภูมิปัญญาในด้านการปลูกฝังคุณธรรม
ภูมิปัญญาในด้านการดำรงชีพ
การ
แสวงหาปัจจัยพื้นฐานของการยังชีพถือเป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นของชนทุกชาติทุก ภาษา
ซึ่งวิธีการจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม
สำหรับชนชาวใต้ที่มีทำเลตั้งถิ่นฐานค่อนข้างหลากหลายคือ มีทั้งที่ราบตามแนวชายฝั่ง
ปากอ่าว ท่าเรือ ที่ราบเชิงเขา หลังเขา ตามแนวสายน้ำน้อยใหญ่ บนเกาะ
ประกอบกับความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดิน ทำให้ชาวใต้ได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์
ความสามารถ
อย่างมากมายในการจัดการและปรับตัวให้สามารถดำรงอยู่อย่างกลมกลืนกับสภาพแวด ล้อม
ซึ่งมีอยู่หลายประการ คือ
1. การขุดสระน้ำ เพื่อให้ได้น้ำจืดใสสะอาดไว้กินไว้ใช้ตลอดทั้งปี
เนื่องจากอยู่ใกล้ทะเล ยามที่น้ำขึ้น น้ำเค็มจะไหลเอ่อเข้ามาในแผ่นดิน
จะอาศัยอาบกินก็ไม่สะดวก ดังนั้นจึงเกิดภูมิปัญญาในการหาทำเลขุดบ่อน้ำ
ซึ่งบริเวณที่เหมาะสมควรจะเป็นพื้นที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
-บริเวณที่มีหญ้าขึ้นในฤดูแล้ง
-บริเวณที่มีต้นกะพ้อ มะเดื่อ หรือมีจอมปลวก
เป็นบริเวณที่มีความชื้นอยู่มาก น้ำใต้ดินอยู่ในระดับตื้น
-ทดสอบ โดยใช้กะลามะพร้าวผาซีก ไปคว่ำไว้ตามจุดที่สงสัยว่าจะมีตาน้ำ
เมื่อหงายดู ถ้าพบว่ามีหยดน้ำจับอยู่มากก็เชื่อได้เลยว่าตาน้ำอยู่ไม่ลึก
2. การ ปลูกต้นไม้บริเวณบ้าน
ชาวใต้มีความเชื่อทำนองเดียวกันกับภาคอื่นว่าการปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านต้อง
เลือกปลูกเฉพาะไม้ที่เป็นมงคลและปลูกให้ถูกทิศทาง
โดยมีประโยชน์แฝงไว้เพื่อให้เกิดความร่มเย็นทั้งกายใจ ส่วนที่ห้ามปลูกในบริเวณบ้าน
เป็นพวกไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขามาก หรือชื่อไม่เป็นมงคล เช่น เต่าร้าง ลั่นทม
ความเชื่อนี้เกิดขึ้นโดยอาศัยความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับการโคจรของดวง อาทิตย์
ทิศทางของลมมรสุม ความหนักเบาของฝน ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน
รวมถึงความเข้าใจธรรมชาติของต้นไม้ในแต่ละพันธุ์ด้วย
3. การปลูกสร้างบ้านเรือน จะมีลักษณะแตกต่างจากภาคอื่นๆ คือ
-ชาว
ใต้นิยมแผ้วถางพื้นที่บริเวณบ้านให้เตียนเรียบจนเห็นเป็นพื้นทรายขาวสะอาด
มีเหตุผลด้านสภาพแวดล้อมคือ การเดินเข้าออกสะดวก ปลอดภัยจากสัตว์ร้าย เช่น งู
ตะขาบ แมงป่อง ที่มีอยู่อย่างชุกชุม
-บ้าน เรือนมีหลังคาเตี้ยลาดชัน ยกพื้นสูง และไม่ฝังเสาลงดิน
แต่จะวางอยู่บนตีนเสาที่เป็นก้อนหิน ไม้เนื้อแข็ง หรือ แท่งซีเมนต์หล่อ
เนื่องจากฝนตกชุก ทำให้ดินอ่อนตัว โอกาสที่เสาจะทรุดตัวมีได้มาก
นอกจากนี้แล้วยังเป็นการป้องกันปลวกและเชื้อรากัดกิน
-ไม่ปลูกบ้านขวางตะวัน นิยมปลูกหันหน้าไปในแนวเหนือใต้
เพื่อหลบแสงแดดที่จะส่องเข้าบ้าน
4. อุบายในการครองชีพ
สังคมของชาวใต้มีเคล็ดหรืออุบายในการดำรงชีพและการทำมาหากินตามสภาพแวดล้อมหลายประการคือ
-เครื่อง หมายแสดงเจตจำนง แต่เดิมชาวใต้ไม่รู้หนังสือหรือแม้จะรู้บ้าง
แต่การสื่อความหมายโดยใช้เครื่องหมายบอกเจตจำนงก็ยังนิยมใช้กันอย่างแพร่ หลาย
ยอมรับเป็นกติกาแห่งสังคมที่อยู่กินกันแบบพึ่งพาอาศัย ที่นิยมใช้กัน คือ
เครื่องหมาย “ห้าม” “ขอ” “ขัดใจ”
ห้าม หรือภาษาถิ่นที่เรียกว่า ปักกำ กาหยัง หรือ กาแย
เป็นเครื่องหมายที่จะนำไปปักไว้ในที่หวงห้าม เช่น ห้ามจับปลาในหนองน้ำ
ห้ามนำวัวควายเข้ามากินหญ้า
ขอ เป็นเครื่องหมายที่จะนำไปปักไว้ในที่ที่ต้องการจะขอจากเจ้าของ
แต่ไม่มีโอกาสร้องขอด้วยวาจา เช่น ขอเข้าไปแผ้วถางป่าเพื่อปลูกพืชผล
ขัดใจ เป็นเครื่องหมายที่ใช้คู่กับเครื่องหมาย ห้าม เพื่อเพิ่มน้ำหนัก
ถ้ามีการละเมิดก็จะต้องมีการขัดใจกัน
-ชาวไทยพุทธในภาคใต้ไม่นิยมกินเนื้อกระบือ
เนื่องจากเป็นสัตว์มีคุณที่ได้อาศัยทำมาหากิน จึงไม่ควรฆ่ากิน
-ชาว ใต้จะเกี่ยวข้าวโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า แกะ
เพื่อเก็บเอาเฉพาะรวงเท่านั้น เพราะข้าวที่เก็บเกี่ยวเป็นพันธุ์ต้นสูง
สำหรับหนีน้ำ บางครั้งต้องพายเรือเกี่ยวข้าว
-ชาว ใต้นิยมกินผักสด หรือที่เรียกว่า ผักเหนาะ
เนื่องจากภาคใต้อุดมไปด้วยพืชผักพื้นบ้านนานาชนิด ที่สะอาด ปลอดภัยจากสารพิษ
มีคุณค่าทางด้านโภชนาการสูง อีกทั้งยังเป็นสมุนไพร ช่วยบำรุงร่างกาย
รวมทั้งช่วยตัดทอนความเผ็ดร้อนของอาหาร
เมื่อประกอบกับอาหารประเภทอื่นที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ทั้งหอย ปู กุ้ง ปลา
ทำให้คนใต้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
ภูมิปัญญาในด้านความสัมพันธ์และการพึ่งพา
จากสภาพภูมิศาสตร์ของภาคใต้ที่มีอยู่อย่างหลากหลายเป็นตัวกำหนดสำคัญที่ทำ
ให้ชุมชนแตกต่างไปจากภาคอื่นๆ ทั้งลักษณะการตั้งถิ่นฐาน และการทำมาหากิน
อย่างสำคัญประการหนึ่งคือชุมชนต่างๆ ของชาวใต้ ไม่อาจอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเองโดยลำพัง
ชาวสวนผลไม้ สวนยาง และเหมืองแร่ในป่า ต้องการข้าว กะปิ น้ำปลา กุ้งแห้ง
จากหมู่บ้านพื้นราบหรือชายฝั่ง ขณะเดียวกันหมู่บ้านเหล่านี้ก็ต้องการของป่า
เครื่องเทศ สมุนไพร ฟืนจากป่าเขา
การไปมาหาสู่กันเพื่อแลกเปลี่ยนข้าวปลาอาหารของกินของใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็น
และได้ทำต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน
ก่อให้เกิดกลไกความสัมพันธ์และการพึ่งพาระหว่างคนต่างชุมชน
ซึ่งเป็นแบบฉบับของชนชาวใต้ดังเช่นปัจจุบัน มีดังต่อไปนี้
1. ธรรมเนียม การเป็นเกลอกัน มักจะทำกันตั้งแต่ยังเล็กๆ
โดยพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจัดการให้ เพราะต้องการสานมิตรไมตรีที่ผูกพันกันอยู่ก่อนแล้วให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
แต่ก็มีไม่น้อยคู่ที่ยินดีเป็นเกลอกันเองเพราะได้รู้จักมักคุ้นกันเป็นพิเศษ
เมื่อเป็นเกลอกันแล้วญาติของทั้งสองฝ่ายต่างให้ความรักใคร่ผูกพันคู่เกลอ
เสมือนญาติคนหนึ่ง
2. วันนัด
เป็นวันที่จัดให้มีตลาดนัดขึ้นเพื่อชุมชนจะได้ซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนผลผลิต
ทางการเกษตรที่ผลิตได้ในท้องถิ่นนั้นๆ โดยกำหนดสถานที่หมุนเวียนกันไป
นอกจากนี้แล้วยังใช้เป็นวันนัดหมายพบปะกันแทนการใช้ปฏิทิน สำหรับชี้แจงข้อราชการ
หรือกิจกรรมพัฒนาท้องถิ่นต่างๆ
3. วัน ว่าง จะตรงกับวันสงกรานต์ของภาคอื่นๆ
แต่ธรรมเนียมปฏิบัติจะแตกต่างกัน โดยตลอดระยะเวลาวันว่าง
ทุกครัวเรือนจะหยุดทำมาหากิน ไม่ด่าว่าร้ายใคร ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ดูแลบ้านเรือนของตนให้สะอาด รักษาอารมณ์ให้แจ่มใส
แสดงกตเวทีต่อผู้ใหญ่ด้วยการรดน้ำดำหัว และตักบาตรฟังธรรม
4. กิน งาน กินวาน ข้าวหม้อแกงหม้อ เป็นวัฒนธรรมการพึ่งพาของชาวใต้โดยใช้ธรรมเนียมการกินเป็นตัวชักนำให้เกิด
การร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันในงานที่แต่ละครอบครัวไม่สามารถทำ เองได้
เช่น งานศพ งานบวช เกี่ยวข้าว ทอดกฐิน และทอดผ้าป่า
ภูมิปัญญาในด้านทัศนคติ
โดย ภาพรวมแล้วทัศนคติต่อสิ่งแวดล้อมของชาวใต้มิได้แตกต่างไปจากภูมิภาคอื่น
เท่าใดนัก เว้นแต่จะผูกพันแนบแน่นอยู่กับธรรมชาติที่เป็นคาบสมุทร
รวมทั้งการได้แลกเปลี่ยนสังสรรค์กับคนจากวัฒนธรรมอื่นอย่างต่อเนื่องกันมา
เป็นเวลานับพันปี ทำให้เกิดการผสมผสานของวัฒนธรรมอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งสภาพดังกล่าวนี้เป็นลักษณะเด่นที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติที่เป็นภูมิปัญญา
เฉพาะถิ่น และถือปฏิบัติเป็นบรรทัดฐานของชาวใต้ ดังเช่นต่อไปนี้
1. ด้าน สิ่งแวดล้อม
คนในภาคใต้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับธรรมชาติในลักษณะที่ได้รับการเกื้อกูล
จากธรรมชาติอย่างล้นเหลือมาแต่อดีต เพียงแค่เก็บเกี่ยวเอาทรัพยากรที่มีอยู่มากินใช้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองก็
อยู่ได้อย่างสบายโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษเหมือนกับภูมิภาคอื่น
ในทัศนะของชาวใต้ คนจึงมีสถานะเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติที่ยอมรับอิทธิพลของธรรมชาติ
จะเห็นได้จากการปลูกสร้างบ้านเรือน การทำมาหากิน ดังนั้นคนที่นี่จึงเคารพธรรมชาติ
จะทำการสิ่งใดเพื่อการครองชีพก็จะบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องคุ้ม ครองอยู่
ดังจะเห็นได้จากพิธีกรรมต่างๆ เช่น
-พิธี ขอป่า เป็นพิธีกรรมที่ชาวบ้านภาคใต้ทำขึ้นเพื่อขอตัดไม้ในป่า
สำหรับปลูกสร้างบ้านเรือนหรือที่ทำกิน โดยการนำอาหารคาวหวานพร้อมกับตัดกิ่งไม้เป็นรูปตะขอมาเซ่นไหว้เจ้าป่าเจ้า
เขา แล้วอธิษฐานขออนุญาตเข้าถางป่า
นอกจากนี้
แล้วการแสดงออกถึงการยอมรับนับถือความสำคัญของธรรมชาติและปรับตัวให้สอด
คล้องกับธรรมชาติยังเห็นได้ในพิธีกรรมการเคารพแม่โพสพ เคารพขุนเขา
และเคารพแผ่นดินเกิดด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ
พืชพรรณธัญญาหารที่มีอยู่ทั่วไปไม่ขาดแคลน
ประกอบกับความศรัทธาในศาสนาที่สอนให้ไม่โลภ ไม่สะสม หมั่นทำบุญทำทาน
เมื่อเปรียบเทียบกับคนในภูมิภาคอื่น คนใต้จึงดูสมถะ เรียบง่าย
เพียงพอแล้วในปัจจัยสี่
จุดมุ่งหมายของชีวิตไม่ได้หยุดอยู่ที่การกินอยู่อย่างมั่งคั่ง หากแต่จะอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติให้มากที่สุด
2. การ ปกครอง
ตลอดสองศตวรรษที่ผ่านมาหัวเมืองปักษ์ใต้มิได้ถูกปกครองอย่างใกล้ชิดจากเมือง
ราชธานี แต่จะอาศัยเมืองหลักอย่างนครศรีธรรมราชและสงขลาเป็นศูนย์กลางปกครองดูแลอีก
ต่อหนึ่ง ฉะนั้นความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเมืองหลวงกับหัวเมืองปักษ์ใต้จึงไม่ใช่
การรวมศูนย์อำนาจอย่างเข้มข้น หัวเมืองต่างๆ มีอิสระในการปกครองและดูแลกันเอง
ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นแบบนี้ทั้งหมด แต่หลายๆ
หมู่บ้านก็เกิดจากการสร้างตัวด้วยลำแข้งของตนเองท่ามกลางสภาพธรรมชาติที่
เกื้อกูลเป็นอันดี ชาวใต้จึงมีทัศนะในการปกครองแบบพึ่งพาตนเอง รักอิสระ
รักความเป็นธรรม
3. สถานภาพ สังคมของคนชาวใต้ให้ความสำคัญกับเพศชายสูงกว่าเพศหญิง
ขณะเดียวกันก็มีความคาดหวังให้ผู้หญิงเป็นผู้มีคุณค่าสมเป็นกุลสตรีไทย
ซึ่งมีทัศนะต่างๆ ดังต่อไปนี้
-การยกย่องบุรุษ เพศในการเป็นหัวหน้าครอบครัว
พร้อมกันนั้นก็คาดหวังว่าบุรุษต้องเป็นผู้มีความรู้ มีคุณธรรม และต้องเป็นคนจริง
คือ เชื่อถือได้ไม่เหลวไหล
-ใน การยกย่องบุรุษเพศ ชาวใต้นิยมนับถือ นักเลง
ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีบุคลิคพิเศษ มีน้ำใจ เป็นคนใจกว้าง กล้าได้กล้าเสีย รักษาคำพูด
รักพวกพ้อง ซึ่งในท้องถิ่นที่ฝ่ายปกครองดูแลไม่ทั่วถึง
นักเลงจะทำหน้าที่ดูแลจัดการให้ท้องถิ่นมีความสงบเรียบร้อย พร้อมๆ
กับคอยปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนเองและบริวาร ไม่ให้นักเลงถิ่นอื่นเข้ามารังแก
-ชาวใต้ให้คุณ ค่าต่อพรหมจารีของผู้หญิงสูงมาก โดยยึดถือกันทั่วไปว่า
สตรีต้องรักนวลสงวนตัว ประพฤติตนเรียบร้อย สำรวมกริยามารยาท มีความเป็นแม่ศรีเรือน
ข้อยึดถือเหล่านี้ทำให้ผู้หญิงภาคใต้จะไม่สนทนาปราศรัยกับคนแปลกหน้าหรือคน
ที่ไม่น่าไว้วางใจ ฝ่ายผู้ชายก็จะไม่มีนิสัยพูดจาแทะโลมผู้หญิง
ภูมิปัญญาในด้านสมุนไพร
ตั้งแต่อดีตกาลภาค ใต้เป็นดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย
แม้ในปัจจุบันจะได้นำไปใช้บ้าง
แต่ก็ยังคงความอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ
ความรู้และประสบการณ์ของบรรพบุรุษในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรได้ถ่ายทอดจากคน
รุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง สมุนไพรถือเป็นภูมิปัญญาที่ชาวใต้ได้รับการถ่ายทอดมาจนปัจจุบัน
ด้วยเหตุที่ชาวใต้ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับป่าดงพงไพร
ความจำเป็นเมื่อเจ็บป่วยบังคับให้คนเหล่านี้ต้องเสี่ยงชีวิตเก็บเอาสิ่ง ต่างๆ
ทั้งที่เป็น พืช สัตว์ หรือสินแร่ มาทดลองใช้ในลักษณะลองผิดลองถูก
จนประจักษ์แจ้งในสรรพคุณของสิ่งที่ใช้บำบัดรักษา ดังเช่น พวกเงาะป่า
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งขุนเขาและมีความชำนาญในเรื่องสมุนไพร
สิ่งที่พวกเขานำมาใช้เป็นสมุนไพรทั้งที่เป็นยาบำบัดและยาบำรุง
อันมีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของคนกลุ่มอื่น ได้แก่ ยาแก้ปวดเมื่อย
พวกเงาะจะเรียกว่า “เลาะเคาะ” เป็น พืชคล้ายต้นฝรั่ง ใช้ต้มเอาน้ำมานวดบริเวณที่ปวดเมื่อย
ยาคุมกำเนิด เป็นรากไม้ให้ผู้หญิงแทะกินหรือกินกับหมาก ยาเสริมกำลังทางเพศ หรือ “ตาง๊อต” มี
ลักษณะคล้ายหัวเผือก เปลือกสีขาว ใช้กินสดหรือแห้งก็ได้
โดยส่วนใหญ่แล้วยาขนานต่างๆ เหล่านี้เป็นการใช้สมุนไพรเพียงชนิดเดียวในทำนองเดียวกันคนไทยพุทธ
ไทยมุสลิม คนไทยเชื้อสายจีน ก็ย่อมเก็บสะสมความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารและยาที่มีคุณค่าต่อร่างกาย โดยการบอกกล่าวกันต่อๆ มา
หรือได้ทดลองด้วยตัวเอง เริ่มจากของใกล้ตัว เช่น หอม กระเทียม ขิง ข่า ตะไคร้
จนขยายขอบเขตกว้างขวางออกไปเป็นการใช้พืชพรรณในป่า
นอกจากนั้นการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับคนต่างชาติพันธุ์
ล้วนเป็นการขยายฐานความรู้และเกิดการพัฒนาปรับปรุงเป็นยาขนานต่างๆ มากขึ้น เช่น
ยากระชับลำไส้ ซึ่งเป็นส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิด ใช้ขับลมในกระเพาะอาหาร
ยากำลังราชสีห์ เป็นส่วนผสมของดอกไม้หลายชนิด
ใช้สำหรับหญิงที่แต่งงานแล้วมีบุตรยากช่วยให้มีบุตรได้ ยาแก้โรคไต
เป็นส่วนผสมของรากไม้หลายชนิดดองกับเหล้าขาว ใช้บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว
นอกจากนี้แล้วเพื่อให้เกิดผลในทางจิตวิทยา หรือเป็นกำลังใจให้กับคนป่วย
อาจจะมีการร่ายเวทมนต์คาถาประกอบ
ภูมิปัญญาในด้านหัตถกรรมพื้นบ้าน
หัตถกรรม
พื้นบ้านภาคใต้เป็นภูมิปัญญาและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของสังคมเกษตรกรรมที่ได้
มีการสืบสานความรู้ ความสามารถและความชำนาญต่างๆ มายังคนรุ่นปัจจุบัน
สิ่งใดประดิษฐ์ขึ้นใช้แล้วไม่ได้ผลหรือมีสิ่งอื่นที่ดีกว่าก็จะเสื่อมสลายไป
สิ่งใดใช้ได้ดีและสะดวกต่อการผลิตสิ่งนั้นก็ยังคงอยู่
อีกทั้งยังมีการสอดแทรกคุณค่าทางด้านศิลปะลงในงานด้วย
หัตถกรรมพื้นบ้านภาคใต้เป็นการนำเอาวัตถุดิบในธรรมชาติ
โดยเฉพาะพืชพรรณที่มีอยู่อย่างมากมาย ทั้งบนบกและในน้ำ เช่น ไม้ไผ่ หวาย กระจูด กก
มะพร้าว ลิเพา รวมถึงปาล์ม นำมาดัดแปลงเป็นเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ
เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น
-ไม้ไผ่ ลำต้นสามารถใช้เป็นส่วนผสมของยาหลายขนาน เป็นแร้วดักสัตว์
ทำตะกร้า กระบุง เข่ง ชลอม และทำแพ ส่วนหน่อใช้ปรุงเป็นอาหาร
-มะพร้าว รากสามารถใช้ทำยา ลำต้นใช้ทำเสาและเครื่องเรือน
ผลนำมารับประทานหรือปรุงอาหาร ใบใช้ห่อของหรือทำไม้กวาด
-ย่าน ลิเพา นำมาทำของใช้ ที่นิยมกันได้แก่ นหมาก กล่องยาเส้น พาน
และหมวก มีราคาค่อนข้างสูง เพราะเป็นงานจักสานที่ต้องใช้ความประณีตบรรจง
-ปาล์ม หรือ หมาก ใช้ทำภาชนะตักน้ำที่เรียกว่า “หมา” โดยทำมาจากส่วนที่เป็นกาบหรือใบ
สามารถใช้ตักหรือวิดน้ำได้เป็นอย่างดี
นอก จากนี้แล้วยังมีงานหัตถกรรมที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ เหล็กขูด หรือ
กระต่ายขูดมะพร้าว สำหรับนำเนื้อมะพร้าวมาทำอาหารทั้งคาว-หวาน
โดยจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามจินตนาการของผู้ประดิษฐ์
ซึ่งส่วนใหญ่จะทำเป็นรูปสัตว์ แสดงให้เห็นถึงความมีอารมณ์ขันและมีวัฒนธรรมการรับประทานที่ผูกพันอยู่กับ
มะพร้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในดินแดนแถบนี้
ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคเหนือ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคเหนือ
มี
ขันโตก ฟ้อน(ดารารัศมี) ซอ
บ้านกาแล เครื่องมือดักสัตว์
เครื่องมือทำไร่ทำนา
ฟ้อนผี งานแกะสลักไม้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคเหนือ มีการขับซอ(คำผาย)
แกะสลักช้าง(คำอ้าย)
การทำแหนม สืบชะตาขุนน้ำ บวชต้นไม้บวชป่า การทำไม้
การอพยพของคนไทยที่เข้ามาในภาคเหนือนั้น นอกจากจะปรับตัวให้เข้ากับ
การดำรงอยู่ของชาวไทยยวนหรือไทยโยนก
ซึ่งถือว่าเป็นชนชาติกลุ่มใหญ่และชนชาติอื่นๆ
ที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ต่างๆแล้ว
ต้องเรียนรู้สิ่งแวดล้อมที่ประกอบด้วยเทือกเขาสูง ที่ราบหรือ
แอ่งระหว่างเขา
โดยมีต้นน้ำลำธารไหลลงมาจากเทือกเขาลงสู่พื้นที่ราบต่ำเบื้องล่าง
พื้นที่ภาคเหนือจึงเป็นแหล่งต้นน้ำใหญ่
๔ สายคือ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม
และ แม่น้ำน่าน
ต่างไหลลงไปรวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาของที่ราบกลางประเทศ
นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำกกที่ไหลลงไปรวมกับแม่น้ำโขง
ที่เป็นแม่น้ำใหญ่แบ่งเขตประเทศลาว
และราชอาณาจักรไทย
และลำน้ำสายย่อยอีกหลายสายๆที่ไหลลงไปรวมกับแม่น้ำสาละวิน
ในเขตประเทศเมียนมาร์
ด้วยเหตุดังกล่าวนั้นพื้นที่ภาคเหนือจึงมีฝนตกตามฤดูกาลและให้น้ำแก่
แม่น้ำจำนวนมากจนพัดพาเอาปุ๋ยธรรมชาติจากป่าเขาที่อยู่บนเขาสูง
ทำให้เกิดพื้นที่ปลูกข้าวและพืชพรรณธัญญาหารต่างๆ ในไม่ช้าประมาณก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘
กลุ่มไทยยวนจึงได้พากันตั้งชุมชนเมืองขึ้น
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นั้นพระเจ้ามังราย แห่งอาณาจักรเชียงแสน
ได้มีอำนาจเข้าครอบครอง
พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำกก เมืองเชียงราย ฝาง และเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นที่ราบที่มีสายน้ำไหลลงไปรวมกับแม่น้ำโขง
สร้างความเป็นปึกแผ่นจนสามารถขยายพื้นที่ครอบครองไปยังที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม
และแม่น้ำน่าน
ทำให้ฐานะของเมืองที่เคลื่อนย้ายนั้นได้พัฒนาตั้งเป็นเมืองที่มีหลักแหล่งถาวร
สร้างความเป็นเมืองขนาดใหญ่
เป็นศูนย์กลางของชุมชน
มีเมืองหรือหมู่บ้านตั้งอยู่กระจัดกระจาย
ตามที่ราบลุ่มระหว่างเขา
ชุมชนทางภาคเหนือนั้นได้พัฒนาการสร้างเป็น นครรัฐ ที่มีศูนย์กลางการปกครอง
การค้าขาย
การศาสนาและวัฒนธรรม
ซึ่งเป็นการพัฒนาให้เกิดชุมชนเกษตรกรรมขนาดใหญ่
โดยจัดสร้างพื้นที่การทำนาโดยใช้วิธีน้ำท่วมขังหล่อเลี้ยงต้นข้าวขึ้น แทนการทำนาทำไร่เลื่อนลอยบนที่สูง
และรู้จักการจัดการน้ำเข้าไปช่วยทำการเพาะปลูกที่เรียกว่า"เหมืองฝาย"
โดยกั้นน้ำที่ไหลตามธรรมชาติ
ลงสู่ที่ต่ำสามารถไหลแยกไปตามแนวลำเหมืองเข้าพื้นที่ทำนา ที่ปลูกลดหลั่นอยู่ตามแนวที่ราบสูง
จนสามารถปรับน้ำให้สามารถไหลกระจายลงมาใช้ทำนาได้ตามสภาพพื้นที่
นับเป็นการสร้างสังคมของเกษตรกรรมขึ้นอย่างเป็นระบบ
สำหรับเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางความเป็นนครรัฐในภาคเหนือนั้น ตัวเมืองจะมี
กำแพงเมืองล้อมรอบเวียง
ภายในกำแพงหรือในเวียง นั้นมีคุ้มเจ้าเมือง(คุ้มหลวง)
ซึ่งอยู่ติดกับสนามชัยหรือสนามหลวง(ข่วง)
ซึ่งมีวัดหัวข่วงอยู่ใกล้กัน
บ้านขุนนางและคนมีฐานะ(เจ้าของที่นา)จะอยู่ในเวียงนั้น
ส่วนหมู่บ้านในเวียงจะมีวัดและหนองน้ำขนาดใหญ่เป็นหลักอยู่ประจำหมู่บ้าน
มีถนนและทางเดินไปยังหมู่บ้านอื่นๆได้
หนองน้ำนี้จะรับน้ำฝนจากลำเหมืองที่ขุดเอาดินถมเป็นดอน
ป้องกันน้ำท่วม
ซึ่งสามารถใช้เป็นเหมืองระบายน้ำออกไปยังคูเมืองและสู่ลำห้วยที่ไหลออกไปสู่แม่น้ำใหญ่
โดยลำเหมืองนี้จะไหลผ่านหมู่บ้านที่อยู่นอกเมืองวกวนไหลผ่านทุ่งนาที่กว้างใหญ่
นับว่าเป็นระบบชลประทานที่เกิดขึ้นสำหรับการทำนาในสมัยนั้น
นอกเวียงนั้นก็มีหมู่บ้านขนาดใหญ่ตั้งเกาะกลุ่มอยู่บนที่ดอนจากดินขุดเหมือง
และตั้งอยู่เรียงรายตามแถบพนังของลำน้ำใหญ่
และลำห้วยหรือลำเหมือง
ซึ่งไหลผ่านทุ่งนากว้างไปยังแม่น้ำ
ถัดจากทุ่งนาและหมู่บ้านก็เป็นป่าละเมาะ ป่าไม้และทิวเขา โดยมีเส้นทางเกวียนเป็นเส้นทางสัญจรไปมา
ดังนั้นนอกกำแพงจึงมีบ้านเรือนหนาแน่นตั้งรายล้อมกำแพงเมืองออกไป
หมู่บ้านนั้นมีผู้นำคอยดูแลชุมชนเหล่านั้น ที่เมืองเชียงใหม่นั้นมี บ้านฮ่อม บ้านเมืองก๋าย
บ้านเมืองมาง บ้านเมืองสาตรเป็นต้น
ตั้งล้อมอยู่รอบกำแพงเมืองเชียงใหม่
หมู่บ้านเหล่านี้มักสร้างขึ้นสำหรับให้เชลยศึกที่กวาดต้อนจากสงคราม
ซึ่งเป็น”ข้าปลายหอกงาช้าง”(เรียก"เก็บผักใช้ซ้า
เก็บข้าใส่เมือง")ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยทำกิน
ถัดจากหมู่บ้านก็เป็นป่าละเมาะ
แนวป่า และเทือกเขา
ซึ่งมีเส้นทางเกวียนใช้ติดต่อถึงกัน
และหมู่บ้านต่างๆก็เกาะกลุ่มอยู่ตามเส้นทางเกวียนนี้ แต่วัดที่เป็นหลักของหมู่บ้านจะตั้งห่างออกมา
และมักมีบริเวณป่าช้าแยกออกมาจากวัด สำหรับดงไม้ที่มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นนั้น
ชาวบ้านถือว่าเป็นบริเวณศักดิ์สิทธิที่เชื่อว่า มีผีเสื้อบ้าน
สถิตอยู่ จึงมีการสร้างศาลหรือหอผีให้เป็น
คอยเฝ้าคุ้มครองหมู่บ้านและไร่นาของชาวบ้านหมู่นั้น
ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาเข้าไปมีบทบาทในการดำรงชีวิตตามหลักพุทธธรรมแล้ว
การสร้างวัดเพื่อเป็นแหล่งความรู้ทางธรรม
แนะนำการดำรงชีพร่วมกับธรรมชาติโดยอาศัยหลักธรรม
เป็นแนวทางปฏิบัติ ให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขนั้น ทำให้มีการสร้างวัดเป็นหลักของหมู่บ้านทุกแห่ง
พื้นที่ดอนสูงและที่ลาดเชิงเขาในภาคเหนือนั้น
เป็นพื้นที่ไม่เหมาะสำหรับการทำนา
ชาวบ้านจึงทิ้งให้เป็น"ป่าละเมาะ"หรือ"ป่าแพะ"ตามธรรมชาติ
เพื่อใช้ป่านี้เป็นแหล่งทรัพยากร
ที่มีค่าและอำนวยประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต เช่นการหาฟืนเพื่อใช้หุงต้ม หาไม้สร้างบ้าน
หาสมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
รวมทั้งพืชผักที่เป็นอาหารและเนื้อสัตว์
โดยเฉพาะต้นไม้ที่สร้างความชุ่มชื่นให้แผ่นดิน จึงเป็นป่าไม้เศรษฐกิจที่สำคัญต่อการดำรงชีพ
ขั้นพื้นฐานของชุมชนในป่า
ในป่าแพะนั้นมีต้นไม้ตึงหรือไม้พลวง
หลังจากฤดูทำนาแล้วชาวบ้านจะอาศัยป่าแพะ
เข้าไปเก็บใบตึงแก่ เพื่อนำมาเย็บเป็นตับสำหรับซ่อมแซมหลังคาบ้าน ในต้นฤดูฝนป่าแพะ
จะอุดมด้วยยอดอ่อนของใบไม้ เห็ดเผาะ(เห็ดถอบ) เห็ดลม หน่อไม้ไร่ แมงมัน ผัดยอดหวาน
เป็นต้นสำหรับเป็นอาหาร
ส่วนป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ เช่นต้นยางนั้นจะมีผึ้งหลวงจำนวนมาก
มีดอกไม่ป่าบานสะพรั่ง
ยางไม้ ถือเป็น ป่าขุนน้ำ
คือป่าขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
อำนวยความชุมชื่นและ
ความอุดมสมบูรณ์ให้กับหมู่บ้าน
จึงทำให้มีการรักษาป่าขุนน้ำไว้
เนื่องจากพื้นที่ภาคเหนืออุดมสมบูรณ์ด้วยป่าขุนน้ำ และแหล่งต้นน้ำลำธาร
อาชีพเที่ยวป่าเพื่อเก็บหาของป่าหรือล่าสัตว์เป็นอาหาร
จึงเกิดขึ้นเสมอ
ในระยะแรกๆที่เกิดชุมชนใหม่ขึ้นในป่า
หรือเกิดหมู่บ้านอยู่ติดกับป่าที่ถือว่าเป็น
แหล่งอาหารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้นชาวบ้านจึงมีความเคารพต่อป่า
โดยแปรประโยชน์ที่จะได้จากป่าให้เป็นพิธีอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองป่าตลอดถึงห้วยหนอง
คลองบึง
มีการประกอบพิธีกรรม
บวงสรวงบูชาในฐานะ เจ้าขุนน้ำ เจ้าป่า และเจ้าเขา
ทำให้เกิดความเชื่อเป็นประเพณีว่า
ก่อนที่จะเข้าป่าทุกครั้งชาวบ้านต้องแสดงคารวะด้วยการเซ่นไหว้เจ้าขุนน้ำ
เจ้าป่าและเจ้าเขา
พร้อมที่จะเข้าใจกฏเกณฑ์การหาของป่ามากขึ้นด้วย
ดังนั้นเมื่อมีการตัดไม้ทำลายป่าและทำลายแหล่งต้นน้ำลำธารเกิดขึ้น
หมู่บ้านที่เคยอาศัยป่าเป็นแหล่งอาหารนั้น
ย่อมเห็นคุณค่าของป่าและแหล่งน้ำมากกว่า
แม้จะมีความคิดรักษาสภาพของป่าและดูแลแหล่งแม่น้ำลำธารให้มีสภาพเป็นแหล่งอาหาร
ทางธรรมชาติเหมือนเดิม
ภูมิปัญญาในการจัดการเรียนรู้อย่างเข้าใจและสร้างการทำงานเพื่อให้ได้ผลสำเร็จ
ตามที่ต้องการนั้น
หากไม่มีภูมิปัญญาเข้าไปให้ความรู้
ด้วยการคิดผสมผสานวิธีการไปสู่ความสำเร็จ
และ ความร่วมมืออย่างแพร่หลาย
มีกลุ่มทำงานตามองค์ความรู้นั้นๆแล้ว
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะเพิ่มขึ้นและหารูปแบบที่นำไปสู่ความสำเร็จได้ยาก ดังตัวอย่าง
เช่น
พระครูพิทักษ์นันทคุณ จังหวัดน่าน
ภูมิปัญญาที่ชี้ให้เห็นผลของการตัดไม้ทำลายป่า
และเริ่มปลูกป่าสำหรับชุมชนขึ้นท่ามกลางการประกาศเขตป่าสงวน
ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของมนุษย์กับป่าชุมชน
สร้างกลุ่มฮักเมืองน่านสร้างกิจกรรมรักแม่น้ำน่าน
และอนุรักษ์พันธ์ปลาอย่างแพร่หลาย โดยการบวชต้นไม้
และการสืบชะตาแม่น้ำ
เป็นภูมิปัญญาที่สร้างความรักแผ่นดินให้เกิดขึ้นในหัวใจด้วยพุทธธรรม
โคมลอย
ประวัติโคมลอยโคมลอย หรือบางท้องถิ่นเรียกว่า ว่าวหรือ โกม
ยังแยกเป็นว่าวลม คือ ใช้ปล่อยในเวลากลางวัน
และว่าวไฟใช้ปล่อยเวลากลางคืนโคมลอยมีลักษณะคล้ายลูกบอลลูน วัตถุประสงค์
ในการปล่อยโคมลอยโดยทั่วไปแล้วชาวบ้านจะมีความเชื่อกันคือ
1. เพื่อทำเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชาสังฆบูชา
2. เพื่อให้โคมนั้นช่วยนำเอาเคราะห์ร้าย ภัยพิบัติต่างๆ
ให้หายไปจากหมู่บ้าน
3. เพื่อความสนุกสนานรื่นเริงในเทศกาลต่างๆ